“New Normal ทำให้โลกอนาคตขยับเข้ามาหาเราเร็วยิ่งขึ้น ในมุมของคนที่ทำธุรกิจแอมเวย์เป็นอาชีพก็ยิ่งตอบโจทย์เรื่องอนาคต ความท้าทายครั้งนี้จึงกลายเป็น Positive กลับมาในเชิงธุรกิจอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วโมเดลธุรกิจในอนาคตที่จะอยู่รอดได้ ยังต้องอาศัยการเชื่อมต่อของผู้คน เพราะหุ่นยนต์ไม่สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่บน AI หรืออยู่บนโซเชียลมีเดียได้ตลอดเวลา ถึงจุดหนึ่งก็ยังอยากสัมผัสอยากเห็นหน้าผู้คน ซึ่งธุรกิจขายตรงมาจาก Person to Person ในขณะเดียวกันเราก็สร้าง Digital Platform ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้เร็วขึ้น สะดวกมากขึ้น”
แม้ว่ามาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อาจส่งผลกระทบต่อรูปแบบการทำธุรกิจขายตรงในเรื่อง Personal Touch อยู่บ้าง แต่แอมเวย์ก็นำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเป็นตัวช่วย เช่น Virtual Meeting ทำให้สามารถมองเห็นหน้ากันอยู่ ยังได้บรรยากาศของการเป็น Personal Touch ในระดับหนึ่ง อาจจะไม่ได้สื่อทุกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนการที่ได้พูดคุยกันต่อหน้า แต่ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเพราะสามารถทำได้ในทุกช่วงเวลาที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องของแอมเวย์ สะท้อนภาพของ Brand Image ที่แข็งแกร่งในการเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่นำเสนออาชีพที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง และสินค้าที่ตอบโจทย์เพื่อการอยู่ดีมีสุขให้แก่ผู้คนได้ในทุกวิกฤต
“Brand Purpose ของเราจึงมีความคลาสสิก ทำให้การทำธุรกิจกับแอมเวย์แตกต่างจากอาชีพอื่นๆ จากวันนี้ไปอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า Brand Purpose ของเราจะยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยน เพราะเราเชื่อมั่นว่า เราคือแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้ทุกยุคทุกสมัย” คุณกิจธวัช กล่าว