คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร และผลักดันให้แบรนด์เอไอเอได้รับการยอมรับและความไว้วางใจสูงสุดจากกลุ่มเป้าหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเป็นองค์กรระดับตำนานที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 83 ปี และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่บริษัทของกลุ่มธุรกิจประกันชีวิตที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ
ประการแรก เอไอเอดำเนินธุรกิจมอบความคุ้มครอง และอยู่เคียงข้างคนไทยในประเทศมาเป็นเวลานาน และเวลากว่าครึ่งหนึ่งของระยะเวลาที่ผ่านมาเอไอเอครองความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตมาโดยตลอด คนไทยจึงรู้สึกคุ้นชินกับเอไอเอในฐานะแบรนด์อันดับ 1 ของกลุ่มธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
ประการที่ 2 เอไอเอยึดมั่นในช่องทางการขายผ่านตัวแทนเป็นช่องทางหลักมาตั้งแต่วันแรกของการดำเนินธุรกิจ ทำให้มาตรฐานและคุณภาพของตัวแทนเอไอเออยู่ในระดับสูง ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับกลางไปถึงระดับบนได้ดี ทำให้ภาพลักษณ์ในการนำเสนอสินค้าและการบริการของเอไอเอเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
ประการที่ 3 เอไอเอเป็นผู้นำในเรื่องของสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่เอไอเอบุกเบิกตลาดมามากกว่า 25 ปี รวมถึงการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือยูนิต ลิงค์ ด้วยความเชี่ยวชาญมานานกว่า 11 ปี พร้อมตัวแทนคุณภาพที่มี IC License กว่า 11,000 คน มากที่สุดในอุตสาหกรรม
จากข้อมูลของผลสำรวจ “2021 Thailand’s Most Admired Company” เอไอเอยังมีความโดดเด่นใน 3 ปัจจัย คือความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) ภาพลักษณ์แบรนด์ของกิจการ (Corporate Image) และการบริหารงานการจัดการ (Management)
“เรามีวิธีคิดทั้งในส่วนของงานกลยุทธ์ และการบริหารงานเชิงจรรยาบรรณของผู้บริหารที่ตอบโจทย์คนเอเชียมาตลอด ซึ่งปัจจุบันเรามีแนวทางการบริหารจัดการที่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนบน 3 ค่านิยมหลัก ได้แก่ ความชัดเจน (Clarity) ความกล้าหาญ (Courage) และมนุษยธรรม (Humanity) เป็น 3 องค์ประกอบที่ทำให้เอไอเอพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปแบบการบริหารจัดการที่เป็น Best Practice ทำให้มั่นใจได้ว่า ทุกการตัดสินใจจะแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง และมั่นใจในเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทเอไอเอ”
นับตั้งแต่เอไอเอแยกตัวออกมาจาก AIG และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เพื่อปักหมุดการทำตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างชัดเจนจนถึงปัจจุบันถือเป็นยุคที่ 3 ของแผนการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งโจทย์ทั้งหมดในยุคนี้คือการมุ่งเน้นไปที่เรื่องดิจิทัลเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญกับการติดอาวุธทางดิจิทัลให้กับองค์กรและตัวแทน พร้อมสนับสนุนการปรับตัวในด้านการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับช่วงล็อกดาวน์จากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19