ในขณะที่เทคโนโลยีด้านดิจิทัลถูกนำมาพัฒนาธุรกิจรีเทลภายใต้ชื่อ SCG HOME ตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าผ่านสินค้าและบริการตั้งแต่การสร้าง ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม ตกแต่ง จนถึงการอยู่อาศัยภายในบ้าน ในช่องทางหลากหลายแบบ Omni-channel เป็นซูเปอร์แพลตฟอร์มที่ช่วยเชื่อมต่อทุกขั้นตอนทั้ง Physical Store และ Online Store
“ผมคิดว่าที่สำคัญของนวัตกรรมอยู่ที่ว่าคิดค้นทำออกมาแล้วมีคนซื้อหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เป็นสิ่งประดิษฐ์แต่ถ้ามีคนซื้อเพราะตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้จริงนั่นคือนวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมที่เรามุ่งเน้นต้องสามารถ Scale Up และผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์ได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคใช้อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว”
ในอีกทางหนึ่งการคิดค้นและบุกเบิกสินค้าและบริการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ยังสะท้อนเห็นได้ว่าการเป็นองค์กรขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนองคาพยพ และสามารถปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
คุณนิธิ เอ่ยถึงเคล็ดลับที่ทำให้ SCG ปรับตัวไวว่า มาจากการบริหารจัดการที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่าง Core Business ที่เป็นธุรกิจดั้งเดิม และ New Business โดยในส่วนของ Core Business นั้น SCG มีความเข้มแข็งด้านการผลิต การลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ จึงนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเพิ่มการลดต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น
“ศัพท์ภายในเราเรียกว่า Industry 4.0 ขั้นแรกเราจะใช้ Process Improvement เพื่อลดขั้นตอนการทำงานก่อนจากนั้นจึงนำ Big Data มาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงลดเวลาการผลิต เพิ่มผลผลิต หรือลดการสูญเสีย ทำให้โรงงานผลิตของเรากลายเป็น Smart Factory และ Remote Factory แม้จะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ก็สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น”
ในขณะที่ New Business จะมีวิธีการบริหารจัดการอีกแบบหนึ่ง เริ่มตั้งแต่การสรรหาพนักงานที่มีจิตวิญญาณ Entrepreneur-ship วางโครงสร้างการทำงานแบบ Agility พร้อมนำกระบวนการทำงาน Design Thinking มาใช้ทำให้รู้ความต้องการที่ซ่อนเร้นของผู้บริโภค พัฒนาสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี คุณนิธิ กล่าวถึงภาพความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้าในการนำพาองค์กรให้เติบโตต่อไปในอนาคตว่า จะอยู่ที่ความสามารถในการจับเทรนด์วิถีใหม่ (New Normal) แล้วนำมาถอดรหัสเป็นสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคมองหา