หาก Meta ไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายโอน จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลของบรรดา User ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา บริษัทอาจต้องหยุดนำเสนอผลิตภัณฑ์บางอย่างในสหภาพยุโรป รวมทั้ง Facebook และ Instagram
ทั้งนี้ในรายงานประจำปีของ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า “หากไม่มีการนำกรอบ (Framework) การถ่ายโอนข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกใหม่มาใช้ และเราไม่สามารถพึ่งพา SCCs (Standard Contractual Clauses - ข้อสัญญามาตรฐาน) หรือพึ่งพาวิธีอื่นในการถ่ายโอนข้อมูลจากยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกาได้อีกต่อไป เราอาจจะไม่สามารถนำเสนอสิ่งผลิตภัณฑ์และบริการที่สำคัญหลายอย่างของเราในยุโรปได้ ซึ่งรวมถึง Facebook และ Instagram”
ซึ่ง Meta ยังได้ระบุในรายงานประจำปีในหน้าที่ 9 ของรายงาน ว่า พวกเขาคาดว่าจะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 และยังเสริมว่า การปิดบริการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัท
ปัจจุบัน Meta ใช้การถ่ายโอนข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งควบคุมโดย Privacy Shield และข้อตกลงอื่นๆ ที่อนุญาตให้บริษัทจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ในยุโรปบนเซิร์ฟเวอร์ของสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ตามคำตัดสินใหม่ของสหภาพยุโรป หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของประเทศไอร์แลนด์ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อตกลงที่อนุญาตให้ Meta แชร์ข้อมูลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสู่สหรัฐฯ
โดยเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมของยุโรป (European Court of Justice - ECJ) ได้ตัดสินว่า มาตรฐานการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ปกป้องความเป็นส่วนตัวของพลเมืองยุโรปอย่างเพียงพอ
ศาลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทางกฎหมายสูงสุดของสหภาพยุโรป ได้จำกัดวิธีที่บริษัทสหรัฐฯ สามารถส่งข้อมูลของบรรดา User ในยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกาได้ หลังจากที่สรุปว่า พลเมืองของสหภาพยุโรปไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการคัดค้านการสอดส่องของรัฐบาลอเมริกัน
ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ เช่น NSA (National Security Agency) สามารถขอให้บริษัทอินเทอร์เน็ต เช่น Facebook และ Google ส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับพลเมืองสหภาพยุโรปได้
การพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมของยุโรป (ECJ) เกิดขึ้นหลังจาก Max Schrems นักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัวชาวออสเตรีย ยื่นฟ้องศาลตามการเปิดเผยของ Edward Snowden โดยอ้างเหตุผลว่ากฎหมายของสหรัฐฯ ไม่ได้ให้การคุ้มครองที่เพียงพอต่อการสอดส่องโดยหน่วยงานสาธารณะ และ Schrems ได้ยกเรื่องร้องเรียนต่อกรณี Facebook ซึ่งเหมือนกับบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง กำลังถ่ายโอนข้อมูลของเขาและข้อมูลของบรรดา User อื่นๆ ในยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกา
คำตัดสินของศาลทำให้ข้อตกลง EU-U.S. Privacy Shield เป็นโมฆะ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว ช่วยให้บริษัทต่างๆ ส่งข้อมูลของพลเมืองสหภาพยุโรปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปสหรัฐฯได้และส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องพึ่งพา SCCs (Standard Contractual Clauses - ข้อสัญญามาตรฐาน)
และเมื่อเดือนสิงหาคม 2020 คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของประเทศไอร์แลนด์ (Ireland’s Data Protection Commission) ได้ส่งคำสั่งเบื้องต้นให้ Facebook หยุดการถ่ายโอนข้อมูลผู้ใช้จากสหภาพยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกา, อ้างอิงข้อมูลตามรายงานข่าวจาก The Wall Street Journal ที่รายงานโดยอ้างถึงแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้
คาดว่าคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลของประเทศไอร์แลนด์ จะออกคำตัดสินขั้นสุดท้ายในช่วงครึ่งแรกของปี 2022
หากไม่สามารถใช้ SCCs (Standard Contractual Clauses - ข้อสัญญามาตรฐาน) เป็นพื้นฐานทางกฎหมายในการถ่ายโอนข้อมูล ทาง Facebook จะต้องปิดบังข้อมูลส่วนใหญ่ที่รวบรวมจากผู้ใช้ในยุโรป และหน่วยงาน DPC (Data Protection Commission) สามารถปรับ Facebook ได้ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ ของรายรับต่อปี หรือ 2.8 พันล้านดอลลาร์ หากไม่ปฏิบัติตาม
ด้านหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ในยุโรปก็กำลังร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งจะกำหนดวิธีการถ่ายโอนข้อมูลของบรรดา User ที่เป็นพลเมืองของสหภาพยุโรปข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังสหรัฐฯ.
Axel Voss ผู้ร่างกฎหมายชาวยุโรปกล่าวผ่าน Twitter ว่า “Meta ไม่สามารถแบล็กเมล์สหภาพยุโรปให้ยกเลิกมาตรฐานการปกป้องข้อมูลได้” และเสริมว่า “การออกจากสหภาพยุโรปจะทำให้พวกเขาสูญเสีย” ซึ่งก่อนหน้านี้ Voss ได้เขียนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสหภาพยุโรปบางส่วน
ทางด้านโฆษกของ Meta ได้บอกกับ CNBC เมื่อวันจันทร์ว่า บริษัทไม่มีความปรารถนาและไม่มีแผนที่จะถอนตัวออกจากยุโรป โดยเสริมว่าได้หยิบยกข้อกังวลเดียวกันในการยื่นเรื่องก่อนหน้านี้
“แต่ความจริงง่าย ๆ ก็คือ Meta และธุรกิจ, องค์กร และบริการอื่นๆ จำนวนมาก ต้องพึ่งพาการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเพื่อดำเนินการในการให้บริการทั่วโลก” พวกเขากล่าว
ช่วงสัปดาห์ที่แล้วนับเป็นสุดสัปดาห์ที่ยากลำบากมากสำหรับบริษัท Meta จากรายงานประจำไตรมาสที่น่าผิดหวัง ทำให้เมื่อวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทต้องประสบกับการตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในวันเดียวใน Wall Street หลังจากราคาหุ้นร่วงลงมากกว่า 26% ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัท (Company’s Market Value) ได้หายไปประมาณ 230,000 ล้านดอลลาร์ ในการซื้อขายระหว่างวัน
Cr : CNBC / Gigadgets
Source
Source